mark 4 - จอมขมังเวทย์ 2020 ภาคต่อที่รอคอย

จอมขมังเวทย์ 2020 ภาคต่อที่รอคอย

จอมขมังเวทย์ ภาคแรกออกฉายในปี พ.ศ. 2548 ผลงานการควบคุมของปิยะพันธ์ ยกเพ็ชร์แสดงนำโดยฉัตรชัย เปล่งแสงพานิชและอัครา อมาตยกุล หนังแนวแอ็คชั่น ทริลเลอร์ที่จับเอาความเลื่อมใสทางไสยเวทมาเพิ่มเติมรวมกับหนังแนวสืบสวนสอบสวน กล่าวได้ว่าเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ยังค้างอยู่ในความทรงจำของแฟนภาพยนตร์ไทยจำนวนมาก

เกิดอะไรขึ้นในหนังภาคแรก

mark 1 - จอมขมังเวทย์ 2020 ภาคต่อที่รอคอย
อำนาจศักดิ์สิทธิ์ (ฉัตรชัย เปล่งแสงพานิช) อดีตนายตำรวจหน่วยพิเศษเคยจับคนร้ายที่มีความรู้ความสามารถเก่งทางคาถาอาคม หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้ามานับไม่ถ้วน แต่ว่าตัวเขาเองกลับถูกทำโทษคดีวิสามัญคนร้ายจนเปลี่ยนเป็นผู้ต้องขังถูกขังลืมอยู่ในตารางมืดดินแดนจองจำพิเศษ
10 ปีผ่านไปอำนาจศักดิ์สิทธิ์ได้ล่องหนไปจากกรงขังแบบล่องหนได้ ทำให้พ.ท.ทศพล อดีตเพื่อนฝูงนายตำรวจได้บัญชาจับตายอำนาจศักดิ์สิทธิ์ และมีคำสั่งมาถึงร้อยตรี สันติภาพ (อัครา อมาตยกุล) ให้ตามทำคดีนี้ แต่ว่าระหว่างตามหาตัวอำนาจศักดิ์สิทธิ์ สันติภาพกลับพบแต่ว่าเรื่องประหลาดเกี่ยวกับเรื่องของคุณไสยมนต์ดำ เช่นการปลุกเสกตะปูเข้าท้อง คนร้ายที่คงกระพันหนังเหนียว แต่ว่าไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนสันติภาพก็ไม่หวาดกลัวและเป็นจริงเป็นจังที่จะจับกุมอำนาจศักดิ์สิทธิ์มาให้ได้ เมื่อเขารู้สึกตัวว่าตัวเองบางครั้งอาจจะจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับจอมขมังเวทย์ผู้ครอบครองคาถาอาคม แนวทางเดียวที่จะสยบเขาให้ได้คือเป็นให้ “เหนือกว่าจอมขมังเวทย์”
จนผู้ชมในยุคสมัยนั้นจำคำคมจากตัวละครของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ได้ว่า “แกอย่าบ้าเสมือนกูตามใจ” ได้อย่างไม่เสื่อมคลาย

เกิดอะไรบ้างที่อยู่ใน จอมขมังเวทย์ 2020

mark 2 - จอมขมังเวทย์ 2020 ภาคต่อที่รอคอย
ท่ามกลางการสูญเสียครั้งใหญ่ของวิน(หมาก ปริญ) หนุ่มคนรอดพ้นจากความตายจากเรื่องการสังหารกลับจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงความเลื่อมใสและเชื่อถือที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยมุ่งหน้าสู่ศาสตร์ลึกลับและคาถาอาคมเวทต่างๆเพื่อแสวงหาและจัดแจงคนร้ายด้วยตัวเอง แต่ว่ายิ่งเขาแสวงหาตัวคนร้ายเยอะแค่ไหน เขาก็ยิ่งถลำลึกสู่ด้านมืดมากขึ้นทุกที จนทำให้จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับ “จอมขมังเวทในตำนาน” (นก ฉัตรชัย), “ผู้บ้าพลังเผาผลาญ” (ก๊อต จิรายุ) และ “เจ้าลัทธิใหม่แห่งสมัย” (นก สินจัย) ซึ่งล้วนแล้วแต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมด้วยกันทั้งนั้น นี่คือการเผชิญหน้ากันครั้งสำคัญ ที่มีเชื่อถือแห่งตัวตนเป็นพนันและคาถาอาคมปาฏิหาริย์เป็นตัวชี้ชะตา กำลังปะทุถึงจุดสุดยอด

นี่คือหนังภาคต่อ! ไม่ใช่รีเมค หรือรีบูต

mark 3 - จอมขมังเวทย์ 2020 ภาคต่อที่รอคอย
สำหรับตัวผู้ดูแลต้อม-ปิยะประเภท ยกเพ็ชร์ ที่ดูแลหนังภาคแรก ได้บอกว่าจอมขมังเวทย์ 2020 ไม่ใช่หนังรีเมค ไม่ใช่หนังย้อนอดีต เป็นหนังต่อภาคอย่างแท้จริง ซึ่งเขาได้รับโอกาสสำหรับเพื่อการกลับมาแต่งเรื่องราวในโลกคาถาอาคมอีกครั้งโดยกลายเป็นผลึกเรื่องราวความเลื่อมใส ความเลื่อมใส และมุมมองด้านสังคมในแต่ละสมัยที่ส่งต่อและเชื่อมโยงถึงกันมาใส่ไว้ภายในบทภาพยนตร์
ในมุมมองที่น่าดึงดูดของตัวผู้ดูแลที่สะท้อนออกมาว่า “ภาคต่อกับช่วงเวลา” ถือเป็นแนวคิดที่สำคัญไม่น้อย เพราะปัจจุบันนี้แนวคิดเรื่องการต่อสู้ระหว่างความดีกับความสารเลวนั้น มุมมองของคนเราก็เริ่มมีความแตกต่างเยอะขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวเข้ามามีหน้าที่กับความนึกคิด ความเลื่อมใสและความเลื่อมใสของคนเราจึงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ผู้กำกับจึงเริ่มเสนอคำถามที่ว่า “ยุคนี้เขาเชื่อถืออะไรและสมัยก่อนเชื่อถืออะไร” จนเขาได้ไอเดียที่ว่าด้วยความแตกต่างระหว่างความเลื่อมใสของคนต่างยุคสมัยเอามาสู่หัวข้ออะไรได้บ้าง
“ความนึกคิดของการเผชิญหน้ากันเรื่องความเลื่อมใสของตน อะไรบางอย่างเรามีความคิดว่ามันโง่เขลา แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วมันอยู่ใกล้ๆรอบข้างเราหมดเลย เราห้อยพระ เราไปไหว้พระ เพื่อที่จะได้ให้พวกเรารู้สึกว่าเรามีกำลัง เรามีเชื่อถือในตัวเองขึ้น สมัยเก่าเราไปไหว้ แต่ว่าในตอนนี้มันซึ่งก็คือเรื่องจิตวิญญาณ เรื่องพลังจิต เรื่องพลังจักรวาลอะไรอย่างนี้ อันนี้คือคอนเซปต์ที่เราเอ่ยถึงความเลื่อมใสของคนสองสมัยมาเจอะกัน เราจะเชื่ออะไรมากกว่ากัน ซึ่งมันก็จะเกิดเรื่องราวและแนวทางการของจอมขมังเวทแต่ละคนที่จะใช้ศาสตร์คาถาอาคม เวทมนตร์คาถา ไสยเวทต่างๆมาต่อสู้กันตามความเลื่อมใสและเชื่อถือของแต่ละคนเอง” ต้อม-ปิยะประเภท ยกเพ็ชร์ กล่าว

เพราะอะไรจำเป็นต้องใช้ผู้แสดงเบอร์ใหญ่ขนาดนี้
“จอมขมังเวทย์ 2020” เป็นการก้าวเข้าสู่โลกคาถาอาคมครั้งใหม่และเผชิญหน้าครั้งยิ่งใหญ่ของ “เหล่าจอมขมังเวท” นานัปการคาแร็กเตอร์เช่นนี้ “ความศักดิ์สิทธิ์ทางการแสดง” จึงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ผู้กำกับจำเป็นต้องจุดโฟกัสเป็นพิเศษไม่แพ้ด้านอื่นๆและได้คัดเลือก “ทีมผู้แสดงขมังเวท” ซึ่งทีมงานตัดสินใจใช้ผู้แสดงระดับแถวหน้าของวงการรื่นเริงไทย ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นจอหนังใหญ่ทีแรกของ หมาก-ปริญ สุภารัตน์ การกลับมารับบทบาทเดิมจากภาคที่แล้วของนก-ฉัตรชัย เปล่งแสงพานิช ก๊อต-จิรายุ ตันเครือญาติ กับบทชายหนุ่มที่คลั่งไคล้ในศาสตร์มืด นก-สินจัย เปล่งพานิช กับการคืนจอใหญ่ในบทเจ้าแม่ลัทธิ! รวมไปถึงผู้แสดงเลือดใหม่เช่น คิทตี้-ชิชา อมาตยกุล และ แพร์-พิชชาภา พันธุมจินดา โดยเหตุผลสำคัญที่สุดสำหรับเพื่อการใช้ดาราเบอร์เต็งขนาดนี้ก็เนื่องจากว่า หนังอยากความสามารถทางด้านการแสดงที่จะจำเป็นต้องเชือดเฉือนอารมณ์กัน เพราะทุกตัวละครมีความสลับซับซ้อน น่าหลงใหลและเป็นตัวละครที่มีความทะยานอยากทุกตัว
นอกจากผู้แสดงเบอร์ใหญ่แล้ว งานแนวทางพิเศษและฉากแอ็คชั่นในหนังหัวข้อนี้จัดเต็มและอัดแน่นไม่แพ้กัน ซึ่งบรรดาฉากต่อสู้ปลดปล่อยพลังทางไสยศาสตร์ย์นั้น กล่าวได้ว่าเป็นฉากที่คนดูภาพยนตร์ไทยในปี 2019 จำเป็นจะต้องจำอย่างไม่ต้องสงสัย!