“ประยุทธ์” เรียกกลุ่มเศรษฐกิจ “สุพัฒนดงษ์-อาคม-เศรษฐความสมบูรณ์” ปรึกษาหารือ รับรู้ภาวะเศรษฐกิจ เล็งออกมาตรกาเกลื่อนกลาดระตุ้นการใช้จ่าย – ท่องเที่ยวเพิ่มเติมอีกช่วงครึ่งปีหลัง แย้มดึงเงินออกคนมั่งคั่งใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ดันแก้ พระราชกำหนดซอฟโลนต์เข้า คณะรัฐมนตรี23 มี.ค.นี้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชะ นายกรัฐมนตรี รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกลาโหม เผยออกมาว่าตอนเวลาบ่ายวันนี้ (22 มี.ค.)ได้มีการสัมมนาปรึกษาหารือมาตรการฟื้นฟู รวมทั้ง การดูแลรักษาสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงมาตรการสำหรับสินเชื่อผ่อนปรนพิเศษสำหรับผู้ประกอบการ soft loan รวมทั้ง มาตรการโกดังเก็บหนี้ (asset warehousing)
ยิ่งไปกว่านี้ยังได้ติดตามผลของการทำงานโครงงาน “พวกเราชนะ” รวมทั้งโครงงาน “คนละครึ่ง” รวมทั้งพินิจการทำงานในเฟสต่อไป ปัจจัยสำคัญเป็นยังตรวจเจอว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น ทั้งยังในส่วนของบุคคลรวมทั้งผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะหาหนทางปรับปรุง รวมไปถึงการทำงานทางด้านกฎหมายต่อผู้ทำผิดอย่างเคร่งครัด พวกเราจำเป็นต้องไม่ยินยอมให้คนส่วนน้อยมาทำลายสิ่งดีๆของคนส่วนมากในช่วงวิกฤตนี้
นายสุพัฒนดงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการพลังงาน เผยออกมาว่าในขณะนี้ทิศทางเศรษฐกิจถือว่ามีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นภายหลังที่มีการทยอยฉีดยาให้คนภายในประเทศมากเพิ่มขึ้นโดยนายกรัฐมนตรีได้ติดตามมาตรการทางด้านเศรษฐกิจต่างๆรวมทั้งต้องการที่จะให้มีมาตรการในการดูแลคนที่ได้รับผลพวงทุกกรุ๊ป รวมทั้งให้เสนอโครงงานเป็นลักษณะเป็นแพคเกจดูแลพลเมืองในวงกว้าง
ทั้งนี้ตนได้นำเสนอกับนายกรัฐมนตรีว่าในช่วงก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาข้อมูลในระบบเงินฝากบอกว่ามีปริมาณเงินฝากในระบบเพิ่มขึ้นด้วยเหตุว่าการเดินทางท่องเที่ยวต่างแดนทำไม่ได้ทำให้คนที่มีกำลังจะออมเงินสามารถออมได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทิศทางนี้เป็นเหมือนกับหลายประเทศยกตัวอย่างเช่น เกาหลบใต้ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาฯลฯ โดยตนได้ฝากให้ รัฐมนตรีว่าการคลังไปคิดมาตรการเพิ่มเติมอีกโดยอาจคล้ายกับในส่วนของมาตรการช็อปดีมีคืนแต่จะไม่นึกถึงระยะเวลารวมทั้งฐานภาษีแต่จะช่วยให้คนกลุ่มเป้าหมายนำเงินออกมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับโครงงานที่คาดว่าจะได้รับการต่ออายุในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ภายหลังที่มาตรการทยอยสิ้นสุดลงจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม2564 ได้แก่มาตรการพวกเราเที่ยวด้วยกันระยะที่ 3 รวมทั้งโครงงานคนละครึ่งระยะที่ 3 ซึ่งถ้าหากสามารถขยายโครงงานออกไปได้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ