รู้จักชีวิตนอกจอ “หนุ่ม กรรชัย” ไม่มีเพื่อน เคยเป็นโรคแพนิคไม่ออกจากบ้าน 1 ปี ล่าสุดเกือบซึมเศร้าเพราะโควิด

เรียกว่าเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในประเทศไทยไปแล้วตอนนี้สำหรับ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย”เจ้าพ่อโหนกระแส ในรายการ Woody FM ของ “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา”

โดยหนุ่มได้เล่าถึงชีวิตรูปแบบการทำงานของตน พร้อมเปิดเผยชีวิตข้างหลังจอทีวีที่ฉากหน้าคนยกให้เป็นผู้ทรงอิทธิพล รู้ทุกเรื่อง เป็นเพื่อนกับคนแทบทุกแวดวง แต่ว่าเบื้องหลังนั้นกลับเป็นคนที่ไม่มีเพื่อนพ้อง และก็เคยเป็นโรคแพนิค ไม่ออกจากบ้านเลย 1 ปี และก็ล่าสุดก็เกือบจะเป็นโรคซึมเศร้าเพราะว่าเครียดสะสมจากสถานการณ์โควิด-19
“หนุ่ม กรรชัย” ทำให้เห็นว่าเมื่อคุณอยู่กับอะไรเรื่อยต่อเนื่องมันสำเร็จลัพธ์แน่ๆ มันเป็นแบบนั้นหรือเปล่าขอรับ?
“ส่วนหนึ่งเป็นแบบนั้น เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำก็ได้นะ เป็นประสบการณ์ไงมันจะเห็นแล้วหลังจากนั้นก็เอาไปเก็บเกี่ยว ให้คิดว่าสิ่งนี้จะต้องทำ สิ่งนี้ไม่ต้องทำ เคยเอาเรื่องคนนี้มาคุยในรายการทำให้เขามองเป็นตัวขำขันทุกคนหัวเราะแต่ว่าเขาไม่หัวเราะไงอะไรอย่างนี้ เหล่านี้ก็เป็นประสบการณ์หมดเลย ก่อนที่จะทำอะไรก็ยกมือขึ้นไหว้ขออภัยเขาก่อนหากว่าทำอะไรที่มันพลาดไป มันจะมีวิธีการต่างๆนานา ที่เพิ่มมาในชีวิตเยอะมาก”
จำวันแรกที่รายการโหนกระแส ออกอากาศได้ไหม?
“วันนั้นตื่นเต้นมากมาย ดังพวกเรามาดำเนินการในที่ใหม่ เหมือนเป็นการพิสูจน์ตนเองแบบเดียวกัน เนื่องจากมันเป็นของพวกเราแล้ว วันแรกเลยมันต้องหาแขกแน่ๆเรื่องของการทำรายการฮาร์ดทอล์ก จะต้องชักชวนแขกมาให้ได้ เมื่อใดที่พวกเราได้แขกที่มันเป็นประเด็นที่มันอยู่ในกระแสอยู่ พวกเราเสนอก่อนผู้ใด พวกเราเป็นคนชนะ วันนั้นผมนึกออกเลยคือเรื่องของน้องสตรีที่ถูกฆ่าแล้วหลังจากนั้นก็หั่นศพ แนวทางการเตรียมงาน ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างมันดูราวกับว่าราบรื่นแม้กระนั้นในคำถามแต่ละคำรู้เลยว่ามันวน คนดูอาจจะไม่รู้สึกแต่ว่าพวกเรารู้ รู้อยู่ตลอดว่าพวกเราถามอะไรบ้าง แล้วพวกเราวนกลับมาที่เดิม คือมันตื่นเต้น ที่ใหม่ ฉากใหม่ ดังจะต้องหามอะไรไว้หมดเลย จะต้องบอกว่าตื่นเต้นทุกเทปที่ทำแขกรับเชิญ ไม่มีเทปไหนที่จะไม่ตื่นเต้น”
การที่พวกเราทำสัมภาษณ์รายการทีวีมันมีความรู้สึกบางสิ่งบางอย่าง ก่อนที่จะพวกเราเดินมาในฉากจะรู้เลยว่าวันนี้จะปังหรือไม่ ดังมันเซ้นส์บางสิ่งบางอย่างเป็นแบบนั้นไหม ?
“ผมจะมิได้คาดหวังในแต่ละเทปเลย เพราะว่าผมนับว่าการคะเนหวังในแต่ละครั้ง พอเพียงมันมิได้แล้วเศร้าใจ เคยคาดหวังแต่ว่าพอเพียงเวลาเสร็จปุบปับเทปนี้จะต้องดีแน่จะต้องโอเคแน่แต่ว่าพอเพียงไปนั่งพวกเราไม่อาจจะคุมชาวบ้านได้ ชาวบ้านไม่เคยออกทีวี ไม่เคยพบพวกเรา พบแต่ว่าในทีวี พอนับ 5 4 3 2 เขาพูดไม่ได้ เขาตอบมิได้ พวกเราก็จะต้องพาไปให้ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่พวกเราคาดหวังว่าจะต้องดีแต่พอเพียงถึงเวลามันมิได้

พอเพียงมันไปมิได้ ใจในช่วงเวลานั้นมันกังวลมากมาย เนื่องจากเป็นรายการสดแล้วครั้งคราวจะมิได้คุยกับแขกรับเชิญก่อนด้วยน้อยเทปมากมายเวลามาถึงแล้วผมจะได้พบกับเขาก่อน เนื่องจากผมจะต้องอ่านข่าวก่อนแล้วถึงได้ไปสัมภาษณ์ ฉะนั้นเวลาของผมที่จะคุยกับเขามันไม่มีเลย พอเพียงพบกรณีอย่างนี้ไม่รู้เรื่องเขาเป็นอะไร ซึ่งบางครั้งอาจจะตื่นกล้องถ่ายรูป ตื่นเต้นที่คุยกับพวกเราหรืออะไร ก็จะต้องอุตสาหะทำทุกวิธีพาไปให้ได้ พอเพียงเบรกก็ไปลูบข้างหลัง ช่างเถิดบอกเหมือนพวกเราเป็นพี่น้องกัน วันนี้คุณจะต้องบอกเพื่อลูกคุณนะ หากคุณไม่บอกเพื่อลูกคุณไม่มีผู้ใดช่วยได้ ลูกคุณตายไปแล้วพวกเราจะต้องทวงถามความเที่ยงธรรมให้ลูกคุณให้ได้ เขาก็จะมีแรงฮึด โดยมากหากแขกที่กางลงก์ในเบรกแรก เบรกสองจะดี เพราะว่าเหมือนพวกเราได้ละลายความประพฤติกับเขาไปก่อนหลังจากเบรก”

หากเลือกได้ 1 คน ที่คุณอยากสัมภาษณ์สูงที่สุด คนๆนั้นเป็นผู้ใด?
“นายกรัฐมนตรี”
หากเปรียบเทียบกับทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่เคยทำในแวดวงนี่เป็นสิ่งที่ตื่นมาแล้วแฮปปี้สุดไหม ณ ในขณะนี้ ?
“ผมถูกใจที่จะทำอย่างนี้ มันเหมือนบางครั้งอาจจะยังมีไฟอยู่ สุขสบายมากมาย แต่ว่าถามว่าเหน็ดเหนื่อยไหมโคตรเหน็ดเหนื่อยเลย ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาพพวกเราตื่นตี 5 ครึ่งแล้วหลังจากนั้นก็หาข่าวเอง มองแหล่งข่าวเอง ได้แขกรับเชิญผมก็จะคุยกับแขกรับเชิญก่อน ต่อจากนั้นก็ไปช่องเข้าประชุม ประชุมเสร็จอ่านข่าว อ่านข่าวเสร็จต่อด้วยโหนกระแส เป็นชีวิตผมเป็นอย่างนี้ทุกๆวัน”
เวลาว่างทำอะไร?
“ดูหนัง มองซีรีส์ เล่นกับมายู เป็นเขาก็จะรู้ว่าเป็นเวลาว่างของพวกเรา แต่ว่าหากว่าเป็นวันทำงานเขาจะรู้ จะไม่มายุ่งกับพวกเราเลย”
จันทร์-วันศุกร์มีเวลาคุยกับลูกไหม หาเวลาที่ไหน?
“โทร.คุย บางวันผมออกจากบ้านแต่เช้า มายูเขาก็ออกไปเรียนหนังสือ ผมก็ไปดำเนินการไม่เจอกัน จะกลับมาถึงที่บ้านโดยประมาณ 3-4 ทุ่ม เป็นกลับไปบ้านมายูหลับแล้ว”
สิ่งที่ “หนุ่ม กรรชัย” หวงที่สุดในชีวิต?
“ลูก”

ร้องไห้ครั้งล่าสุดเมื่อใด?
“เร็วๆนี้ อยู่ดีๆมันร้องเอง รู้สึกเก็บกด เป็นมีอาการเหมือนคนจะเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเครียดเรื่องของโควิด เป็นอยู่กับมันทุกๆวัน สัมภาษณ์แทบทุกวัน เห็นทุกๆวัน พวกเราหาเตียงให้กับคนที่เขาเจ็บไข้แทบทุกวัน คนก็จะส่งมาหาทุกช่องทาง พวกเราก็อุตสาหะจนตราบเท่ามาวันหนึ่งรู้สึกไม่ดีที่สุด เป็นมีน้องคนหนึ่งส่งข้อความมาหาแล้วบอกว่าหาเตียงให้แม่หนูหน่อย แม่หนูเป็นโควิดมึงไม่ไหวแล้ว เสร็จแล้วหลังจากที่เขาส่งข้อความมาหาพวกเราแล้ว ผ่านไป 3 ชั่วโมง พวกเราก็อุตสาหะติดต่อ 3 ชั่วโมงให้ข้างหลัง หลังจากที่พวกเราได้เตียงแล้ว เขาส่งมาบอกพวกเราว่าช่างเถิดแล้ว แม่หนูเสียแล้ว ขอบพระคุณ พี่เป็นผู้เดียวที่ตอบหนู พวกเราคิดว่าชีวิตผู้คนมันอยู่แค่ 4 ชั่วโมงเองหรอ มันน่าขนลุกมากมาย ก็เริ่มนอยด์และก็คิดว่าพวกเราช่วยเขามิได้ คิดว่ามันอินไปหน่อย

อินจนถึงขั้นที่นอนหลับและก็ตื่นมาแล้วสั่น แต่ว่าพอลืมตามาเริ่มแรกมันจะเป็นเรื่อง Home Isolation เรื่องคนป่วย มันวิ๊งค์ในหัว ยืนขึ้นมาอยากร้องไห้แล้วพวกเราก็ไม่ไหว เลยโทรศัพท์ไปหาจิตแพทย์ทันที ถามหมอผมอาการเป็นอย่างนี้ ไม่อยากกินอะไรมานับเป็นเวลาหลายวัน รู้สึกไม่ต้องการคุยกับผู้ใด อยากอยู่ตามลำพังในที่มืดๆหมอเลยบอกว่าหากเป็นโรคซึมเศร้ามันจะมีทั้งหมด 9 ข้อ หากเข้า 5 ข้อจะเป็นโรคซึมเศร้า ของผมไป 4 กว่าๆแล้ว หมอบอกว่าอาการของผมก่อนที่จะเป็นซึมเศร้าจะเข้าสู่ขั้นของวิตกจริตก่อน ผมเกือบจะมิได้นอนเลย แย่มากตอน 10 -20 วันก่อนนี้เอง ในขณะนี้เพิ่งดีขึ้น”
หากโควิดหายจากโรคอย่างแรกที่คุณจะทำเป็น ?
“ท่องเที่ยว”
เซ็กส์ของ “หนุ่ม กรรชัย”อยู่ในตอนไหนเต็ม 10 ให้?
“15”
ในบรรดาที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติในขณะนี้เรื่องไหนที่ทำให้มีความรู้สึกเศร้าใจทำไมควรเป็นอย่างนี้?
“คิดว่าทุกวันนี้มันมีแต่ว่าคำว่ารอ พวกเราเห็นใจบุคคลอื่น คิดว่าทุกคนรอ รอคอยว่าจะรอดยังไง รอคอยว่าโรคจะหายไปเมื่อใด รอคอยว่าจะตายไหม จะติดไหม มีแต่ว่าคำว่ารอคอย และก็รอคอยวัคซีน แล้วชีวิตจะไปยังไง”
มาถึงตอนเล่นเกมคำถาม “วู้ดดี้” ได้อ่านใจความที่เป็นความรู้สึกแล้วหนุ่ม กรรชัยเล่าให้ฟังว่าใจความนี้จะเกิดขึ้นในตอนไหนของชีวิต โห! สุขสบายที่สุดเลยเว้ย! เกิดขึ้นมาคุ้มแล้ว! จะคิดถึงอะไร ?
“ลูกคนนี้ เพราะว่าผมคิดว่าพอเพียงมีมายู ผมสุขสบายมากมายเลย คือมันทำให้ผมรู้สึกว่าทำไมชีวิตเราก่อนหน้านี้ที่ผ่านมามันเละเทะขนาดนี้วะ หากว่ามีลูก มีมายูตั้งแต่ทีแรก มันอาจดีมากยิ่งกว่านี้ ชีวิตมันอาจสุขสบายมากกว่าที่มันเคยผ่านมา เคยรู้สึกว่าอดีตกาลก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาสุขสบายมากมายแล้วแต่พอเพียงพวกเรามีมายู โคตรสุขสบายกว่าที่เคยสุขสบาย ฉะนั้นมันตอบได้เลยว่า มายูเป็นความสุขของชีวิตผมจริงๆ”
อะไรบ้างที่อยู่ในตัว “หนุ่ม กรรชัย” ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนตั้งแต่มีลูก?
“มองตนเองไม่ค่อยมีความคิดเห็นว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง แต่ว่าตัวผมเองเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เพียงแต่ว่าคนบางครั้งอาจจะมิได้เห็นตัวตนพวกเราเท่ากับวันนี้ ที่คิดว่าพวกเราเปลี่ยนไป แต่ว่าหากคนรู้จักกันพวกเรามาก่อน เขาก็จะรู้ว่ามิได้เปลี่ยน พวกเราเป็นอย่างนี้ จะรู้ว่าเมื่อก่อนกับวันนี้แบบเดียวกัน เพียงแต่วันนี้มีโอกาสที่จะทำมากกว่าเมื่อก่อนเท่านั้นเอง เอาง่ายๆเสียงพวกเรามันดังกว่าเมื่อก่อน

เวลาพวกเราบอกอะไรคนจะฟังมากกว่าเมื่อก่อน แต่ว่าคนมักจะมองในอดีตกาลว่าพวกเราเจ้าชู้ เป็นคนที่เกเร พอเพียงมาวันนี้เขาเห็นรูปธรรมมากกว่าเมื่อก่อน แล้วพอเพียงพวกเรามีลูกเขาก็คิดว่าพวกเราเปลี่ยนไป แต่ว่าจริงๆไม่ใช่ ถามว่าทุกวันนี้ผมถูกใจสตรีไหม ผมก็ยังถูกใจ เห็นสตรีงามๆก็ยังมอง เพียงแต่ว่าพวกเราหักห้ามใจมากยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง มิได้เหมือนเมื่อก่อนที่คุณงามผมก็เข้าไปจีบเท่านั้นเอง”
ยังจำตอนเจ้าชู้ได้ไหม ?
“นึกออก ก็คึกคะนองเมื่อก่อน พอเพียงมาวันนี้พวกเรามีลูกทุกสิ่งก็กลัวไปตกกับลูกสาว กลัวลูกไปพบเพศชายอย่างพวกเรา”
ความรู้สึกต่อมา สำเร็จแล้วเว้ย! หาทางออกได้แล้ว คิดถึงอะไร?
“การทำงาน การทำงานมันมีอะไรให้พวกเราแก้ไขปัญหาได้ทุกๆวัน แล้วจะมีคำนี้ทุกๆวัน แทบทุกวันที่ควรต้องพบ”
ความรู้สึกต่อมา ทำไมชีวิตเป็นขนาดนี้ ?
“ก็น่าจะเป็นโควิด ในขณะนี้ ทำไมจะต้องมานั่งใส่หน้ากากอนามัยอ่านข่าวด้วย ทำไมจะเดินไปซื้อขนมกินจะต้องค่อยฉีดแอลกอฮอล์ที่มือด้วย ทำไมคุยกับวู้ดดี้จะต้องห่างกันจะต้องเอากระจกมากั้น จากที่พวกเราเคยกอดกันตอนเจอหน้า วันนี้ทำไมพวกเราทำไม่ได้ จนถึงเป็นความเคยชิน ทุกวันนี้ผมอ่านข่าวผมปลดหน้ากากแล้วรู้สึกแปลก คิดว่าแปลกตอนเห็นหน้าตนเองในกระจก เพราะว่าชีวิตอยู่แค่ครึ่งหน้า ทุกวันนี้แต่งหน้าทาปากครึ่งหน้า”
ชีวิต “หนุ่ม กรรชัย” ตลอดการเดินทางตั้งแต่เข้าแวดวงมาจนถึงวันนี้ผ่านมาทุกแบบ จะต้องใช้คำว่าหน้าที่ของพวกเรามันควรเป็นกลาง การเป็นสื่อมันมีคำนี้จริงๆไหม?
“มันน้อยมาก อย่างที่เขาบอกกันบางครั้งความเป็นกลางมันบางครั้งอาจจะไม่ค่อยมี แต่ว่าความเที่ยงธรรมมันควรจะมี ครั้งคราวความเป็นกลางถามว่าพวกเราอุตสาหะทำให้มันกลางที่สุด กลางที่สุดเป็นอย่างไร เป็นอุตสาหะฟังทั้งยัง 2 ฝ่าย แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วควรจะมีความเที่ยงธรรมเกิดขึ้นกับคนที่เขาสูญเสีย คนที่เขาคิดว่าถูกใส่ร้าย”
ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างของ “หนุ่ม กรรชัย” พวกเราเห็นกันหมดแล้ว มีมุมที่พวกเรายังมองไม่เห็นไหม ?
“ก็มีนะ จริงๆผมเป็นคนไม่ค่อยพูด เกลียดคุยกับผู้ใด ชีวิตประจำวันผมจะอยู่เฉยๆไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับเพื่อนพ้อง ผมไม่มีเพื่อนพ้อง เพื่อนร่วมงานก็ไม่มี”
“มดดำ”(คชภา ตันรุ่งโรจน์) ก็นับว่าเป็นเพื่อร่วมงาน?
“ใช่ ผมก็มิได้โทร.คุยกับมดดำ อดีตโทร.คุยกันแทบทุกวัน แต่ว่าขณะนี้ไม่ค่อยได้คุยกัน มันบางครั้งอาจจะเป็นเนื่องจากต่างคน ต่างมีเวลาเป็นของตนเองที่จะต้องไปทำอย่างอื่น แล้วอีกอย่างหนึ่งเป็นพอเพียงมันโตขึ้นทุกสิ่งมันก็อิ่มตัว คิดว่าไม่ต้องไปคุยอะไรกับผู้ใด”
แล้วก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาคิดยังไงเกี่ยวกับการมีเพื่อนพ้อง กับวันนี้ที่มันเปลี่ยนไป ?
“ก็ไม่มีเพื่อนพ้อง ผมเป็นคนไม่มีเพื่อนพ้อง คำว่าเพื่อนพ้องของวู้ดดี้มันเป็นอย่างไร คู่หู เพื่อนพ้องที่แบบมีอะไรโทร.คุยกัน รับประทานข้าวกัน ไปท่องรัตติกาล ผมไม่มี ไม่ค่อยคุยกับผู้ใด บอกเลยว่าให้ผมกักตัว 14 วัน หรืออยู่เฉยๆผมก็อยู่ได้ ไม่รู้เรื่องสึกทรมาทรกรรม ชีวิตผมเคยไม่ออกจากบ้านมาปีหนึ่ง ไม่ออกไปไหนเลยก็เคยอยู่”
ในช่วงเวลานั้นเป็นเกิดอะไรขึ้น ?
“หากสมัยนี้เขาเรียกว่าเป็นแพนิค (Panic Disorder) ผมไม่ออกจากบ้านเลยปีหนึ่ง ที่นึกออกเลยขับขี่รถออกไปแล้วมันติดอยู่กลางถนน อยู่ดีๆหัวใจเต้น ปั้กๆๆๆแล้วตัวชาตลอดตัว คิดว่าจะตาย หวิวๆทิ้งรถยนต์เลย แล้วโทรศัพท์ให้คนที่บ้านมารับไปหาหมอ ต่อจากนั้นเป็นอย่างนี้ทุกคราว ขับขี่รถมิได้

ผมสระผม สระผมเสร็จมานอนคิดโน่นนี่ครู่หนึ่งวูบตัวชาตลอดตัวใจสั่น หายใจไม่ถนัด เข้าโรงหมอไม่กล้าสระผมโดยประมาณ 7-8 เดือน ไม่สระผมเลยกลัวจะเป็นอีก ไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่กล้าอยู่บนรถยนต์ ไม่กล้าทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ฉี่ไม่สุด หายใจก็จะต้องถอนหายใจอย่างนี้ มันเป็นเยอะมาก ผมเป็นมานานแล้ว เมื่อ 10 กว่าปีได้”
ได้ฟัง “หนุ่ม กรรชัย” อธิบายอาการแพนิค ทำเอา “วู้ดดี้” ร้องไห้พร้อมพรั่งพรูความรู้สึกของตนออกมาว่าตนมีอาการเช่นนี้เช่นกัน เป็นมา 2 ปีแล้วยังไม่หาย ตอนกลับบ้านมาจะถามตนเองว่าทำไมมันจะต้องเกิดขึ้นกับพวกเรา บางครั้งนั่งสัมภาษณ์อยู่แล้วมันก็มา อุตสาหะจะหาหมอหาทางออกต่างๆรู้สึกทำไมตนเองไม่มีความสามารถในการออกไปพบคนเหมือนเดิม ผมแค่ต้องการจะอยู่แต่ว่าบ้าน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมควรเป็นพวกเรา ที่ร้องไห้เพราะว่าคิดว่าพวกเรามิได้เป็นผู้เดียว หนุ่ม กรรชัย และก็คนอื่นรอบกายพวกเราคนจำนวนไม่น้อยก็เคยเป็น

แล้วหลังจากนั้น “วู้ดดี้” ก็ถามหนุ่มก้าวผ่านมาได้ยังไง แล้วตอนปีนั้นมันทรมาทรกรรมขนาดไหน ?
“โห โคตรทรมาทรกรรม อย่างที่บอกอยู่ดีๆก็ตัวชา หายใจมิได้ ใจสั่นเหมือนหัวใจจะหลุด ร่างกายมันเป็นทุกสิ่ง มันเป็นโรคกลัวตาย แต่ว่าจะบอกวู้ดดี้ไว้อย่างหนึ่งโรคนี้ไม่เคยทำให้ผู้ใดตาย ไม่มีผู้ใดตายเพราะว่าโรคนี้ อยู่บ้านมาปีกว่าจนถึงท้ายที่สุดไปหาหมอจิตเวช ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาไม่เคยไปหาเลย 1 ปี เพราะว่าไม่อยากกินยา จนถึงท้ายที่สุดคิดว่าไม่ไหวแล้ว เนื่องจากอยากออกจากบ้าน อยากไปเที่ยว อยากไปพบสตรี

ท้ายที่สุดไปหาหมอ คุณหมอก็ให้ยามาถุงหนึ่งคุณหนุ่มกินยาตัวนี้นะ แล้วอีกปีหนึ่งคุณหนุ่มจะออกจากบ้านได้ ผมออกมารู้สึกไม่ไหวแล้ว ก็เอายานั่นทิ้งถังใส่ขยะ รู้สึกในใจว่า ขออภัยนะที่มาหาเพราะว่าอยากออกจากบ้าน