the maze runner 2 “The Maze Runner” ภาคแรกนั้นเป็นหนังแนววัยรุ่นในโลกดิสโทเปียที่ส่วนตัวประทับใจอย่างยิ่ง ในขณะที่ก่อนฉายเรื่องนี้ออกจะเป็นหนังนอกสายตารวมทั้งสเกลหนังค่อนข้างเล็กกว่าหนังแนวเดียวกัน ที่ชอบภาคแรกมากก็เพราะมันมีอีกทั้งอารมณ์ความลุ้นระทึก ความหวาดระแวง จะขาดก็แต่อารมณ์โรแมนติก แต่โน่นก็ไม่ใช่ปัญหา กลับทำให้ The Maze Runner มองต่างจากหนังแนวเดียวกันเรื่องอื่นที่มักมีเรื่องความรักเข้ามาเป็นแกนหลัก ที่สำคัญ The Maze Runner ยังมีประเด็นเจาะลึกไปโดยตรงถึงความคิดรวมทั้งสภาพจิตใจของ “วัยรุ่น” โดยตรง ที่ตกอยู่ในภาวการณ์ต้องตัดสินใจว่าจะวาดอนาคตตัวเองไปในทิศทางใด ส่วนตัวนิยามว่า The Maze Runner ภาคแรกเป็นหนังที่สอนจิตวิทยาวัยรุ่นคุณภาพดีได้เลย
“Maze Runner: The Scorch Trials” เป็นการสานต่อจาก “The Maze Runner” ซึ่งด้วยการบรรลุเป้าหมายแบบเกินคาดจากภาคแรก ทำให้ภาคนี้ได้ทุนสร้างมากขึ้นเท่าตัว รวมทั้งพาไปเจอเรื่องราวในสเกลที่ใหญ่กว่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆภาคนี้ “Thomas” (Dylan O’Brien) รวมทั้งผองเพื่อนพ้องที่หนีออกจากวงกตในภาคแรกมาได้เสร็จ ต้องเจอเรื่องจริงว่า โลกด้านนอกนั้นเป็นโลกที่กำลังล่มสลาย เมื่อพายุสุริยะทำให้คนภายในโรคมีอาการป่วยด้วย “ไข้วาบ” รวมทั้งมีสภาพไม่มีความต่างจากซอมบี้ ทางรอดเดียวของโลกอาจอยู่ที่พวกเขา เหล่าเด็กวัยรุ่นซึ่งมีภูมิคุ้มกันไข้วาบ ซึ่งด้วยเหตุนี้นี่เองทำให้ “W.C.K.D” จับพวกเขามาอยู่ในวงกต (เรื่องจริงเผยว่ามิได้มีเพียงแค่วงกตเดียว) เพื่อเรียนรู้แนวทางการทำงานของร่างกาย รวมทั้งนำไปสกัดเป็นยาแก้ แต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จสักครั้ง ความไม่ชอบมาพากลของรวมทั้งการเห็นเด็กวัยรุ่นเป็นเพียงแค่หนูทดลองของ W.C.K.D ทำให้ Thomas รวมทั้งผองเพื่อนพ้องต้องตัดสินใจหนีอีกที
ส่วนตัวไม่เคยอ่านฉบับนิยาย แต่ตอนภาคแรกเข้าฉาย ได้เคยอ่าน Spoil เนื้อหาอย่างคร่าวๆของภาค 2-3 ของนิยายไว้ ทำให้รับรู้ได้ว่า The Scorch Trials ในฉบับหนังกับนิยายนั้นค่อนข้างไม่เหมือนกันพอควร จุดหลักก็คือในนิยายจะยังเป็นเรื่องของการทดลองอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนจากสนามทดสอบที่เป็นวงกต มาเป็นแดนมอดไหม้รวมทั้งด่านต่างๆแทน แต่ในหนังเสมือนจะกล่าวว่า นี่คือของแท้ไม่ใช่บททดสอบ ด้วยเหตุนี้ ใครกันแน่มุ่งมาดให้เสมือนนิยายอาจผิดหวังได้ แต่ส่วนตัวแล้วเฉยๆเนื่องจากเอาเข้าจริงเท่าที่อ่าน Spoil นิยายมา ก็มิได้มีความรู้สึกว่าเป็นเนื้อเรื่องที่น่าดึงดูดเท่าไร ออกแนวเขียนเพื่อสานต่อการบรรลุเป้าหมายจากเล่มแรก แต่ไม่รู้เรื่องจะต่อเรื่องไปทางไหนดี เลยต้องดึงเข้าหามุขเดิมๆอย่างเชื้อโรค ซอมบี้ รวมทั้งการทดลองหลักการทำงานของร่างกาย บางสิ่งบางอย่างก็มองปริ่มใจๆจะออกสมุทรไปด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โชคร้ายคือในเวลาที่ The Scorch Trials เลือกที่จะเดินเรื่องจากนิยาย แต่เสมือนเนื้อเรื่องที่ผูกขึ้นใหม่ก็มิได้ดีโด่ไปกว่าเดิมเท่าไร ภาคนี้เช่นเดียวกับเพียงแค่พาเราไปทำความรู้จักโลกด้านนอกวงกตว่ามีอะไรบ้าง พาไปรู้จักกับ “W.C.K.D” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆว่าทำเลวไว้อย่างไรบ้าง รวมไปถึงพาไปเจอกลุ่มของผู้คนที่ต่อต้าน “W.C.K.D” เป็นเสมือนการแนะนำแต่ละข้างก่อนที่จะสู้กันจริง แต่มิได้ลงลึกประเด็นขบคิดอะไรล้นหลาม ในขณะที่อาจมีช่องทางเอื้อให้ทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกของเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งออกจากวงกตมาเจอกับโลกด้านนอกแล้วพบว่าไม่เป็นอย่างที่วาดไว้ เราต้องการทราบว่าพวกเขารู้สึกยังไงรวมทั้งจัดการกับมันยังไง แต่ทั้งหมดนี้ก็โดนกล่าวถึงเพียงน้อยลงเท่านัน หรืออย่างตัวละครใหม่ “Aris” (Jacob Lofland) ซึ่งวางบทมาว่าเป็น เพศชายที่มาจากวงกตที่มีแต่สตรี (เหมือนกันกับ Teresa ในภาคแรกที่เป็นสตรีผู้เดียวในวงกตที่มีแต่เพศชาย) หนังก็มองใช้ประโยชน์จากบทของเขาไม่คุ้มเท่าไร แทบไม่มีการกล่าวถึงว่าการไปอยู่วงกตสตรีมันคืออะไร แล้วสุดท้ายตัวละครนี้ก็เบาๆเจือจางไปตามเรื่องตามราวราวเรื่อย
จุดที่ The Scorch Trials ยังอ่อนกว่า The Maze Runner ภาคแรกอีกอย่างก็คือ “ผู้กระทำระจายบท” ในเวลาที่ภาคแรกจะย้ำกระจายบททุกตัวละครเท่าๆกัน แต่ภาคนี้จะย้ำไปที่ตัว Thomas เป็นหลัก (คงจะแก้ตัวที่ภาคแรกกระจายบทจนกระทั่งผู้แสดงนำชายไม่เด่น) ตัวละครอื่นๆจากภาคแรกบทลดน้อยลงไปพอควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “Newt” (Thomas Brodie-Sangster) รวมทั้ง “Minho” (Ki Hong Lee) เนื่องจากต้องแชร์บทกับตัวละครใหม่ด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแอร์ไทม์จะลดน้อยลงไป แต่ก็ยังมีฉากเด่นๆให้โชว์อยู่เป็นประจำๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Minho ที่คงจะลำพองใจสาวๆไปอีกผู้คนจำนวนมาก
นอกเหนือจากนี้ ถึงบทจะเทไปทาง Thomas เสียมาก แต่หนังก็ไม่เสียสำหรับการสื่อถึงมิตรภาพระหว่าง Thomas รวมทั้งผองเพื่อนพ้อง เป็นกรุ๊ปเพื่อนพ้องในฝันเลย มีอะไรช่วยเหลือเจือจานกันตลอด แทบไม่มีใครปฏิบัติตนไม่น่าสนใจ หรือปฏิบัติตนเองให้เป็นตัวถ่วงของกรุ๊ปเลย อาจมีไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ก็ไม่งอลรวมทั้งรู้เรื่องกันได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งไม่เหมือนกับลุ่มเพื่อนพ้องตัวเอกในหนังเรื่องอื่นๆที่มักมีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นตัวไม่น่าสนใจเสมอ
ในทางเนื้อหา ภาคนี้ก็เลยดรอคอยปกว่าภาคแรกพอควร กระนั้นถ้าเราจะมองเอาบันเทิงใจ เอามัน นี่เป็นสิ่งที่ The Scorch Trials ยังจัดให้เราได้เต็มเปี่ยม รวมทั้งเสมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย เนื่องจากภาคนี้มีฉาก Action ที่มองหลากหลายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ศัตรูก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ งานวิ่งที่เป็นจุดเด่นของภาคแรก ภาคนี้ก็ยังมีแถมวิ่งมาก วิ่งไกลขึ้นด้วย จนกระทั่งเมื่อยล้าแทน ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ตัวละครวิ่งแล้วเราจะลุ้นเอาใจช่วยเสมือนเราไปวิ่งเองได้ขนาดนี้ น่าจะเป็นกรุ๊ปเดียวที่อาจหนีรอดจากซอมบี้ใน World War Z ได้
สำหรับภาคถัดไป “Maze Runner: The Death Cure” จะเป็นการปิดแฟรนไชส์ มีคิววางฉายไว้ปี 2017 โดยจะไม่มีการแบ่งเป็น Part.1 รวมทั้ง 2 ตามสมัยนิยมแต่ยังไง (ซึ่งโน่นเกิดเรื่องที่ดี เนื่องจากระยะหลังรู้สึกหลายเรื่องแบ่งเพื่อหาตังค์เพิ่มมากว่าเพื่อใส่เนื้อเรื่องได้มากขึ้น) โดยส่วนตัวคงจะไม่มุ่งมาดอะไรกับประเด็นเรื่องมาก เนื่องจากก็รู้เรื่องว่าจะเรียกความสดใหม่แบบภาคแรกนั้นเกิดเรื่องยาก แต่ขั้นต่ำเราก็หวังว่าจะได้มองเห็นหนังยังคงมาตรฐานความสนุกสนานฉาก Action ไล่ล่า แบบภาค 1 รวมทั้งภาค 2 เอาไว้ให้ได้ แล้วจะรอติดตามชม